วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ประวัติกรุงธงชาติไทย


ประวัติธงชาติไทย

     เสาธงคันนั้น  สูงตระหง่านเมฆ มีสายระโยงขึ้งเสาอย่างแข็งแรง บนยอดสุด ชักธงชาติปลิวสะบัดอยู่ไสว

      เสาธงคันนี้ คือเสาธงอยู่ที่ปากคลองสาน ของกรมเจ้า่ท่า ซึ่งถ้าใคร ๆ ผ่านไปมาก็ต้องเห็น แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า เสาธงดังกล่าว มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

      เสาธงคันนี้  มีประวัติยืดยาวเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องเสาธง ประวัิตศาสตร์ต้นดังกล่าว จะขอเล่าถึงความเป็นมาของเรื่อง "การชักธง" เสียก่อน

      แรกทีเดียว ไทยเราไม่มีประเพณีทำเสาธง และชักธงบนบก แต่ทั้งนี้ ก็มิได้หมายความว่า เราไม่เคยรู้จักธง หรือการชักธงก็หาไม่ ความจริง เรารู้จักใช้ธง และชักธงมานานแล้ว ซึ่งท่านไปอ่านหนังสือวรรณคดีเก่า ๆ  ที่กล่าวถึง การยกทัพจับศึกดู ก็จะพบว่า กองทัพไทยในสมัยโบราณ ใช้ธงสีต่าง ๆ  ประจำกองทัพละสี ส่วนการชักธงธรรมเนียมของเราใชัชักธงแดงบนเสาใบเรือกำปั่น ที่ไปค้าขายกับต่างประเทศเพียงอย่างเดียว มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว
ธงสมัยรัชกาลที่ 1
ธงสมัยรัชกาลที่ 2
ธงสมัยรัชกาลที่ 4
ธงสมัยรัชกาลที่ 1
ธงสมัยรัชกาลที่ 2
ธงสมัยรัชกาลที่ 4
      ครั้นถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 2 ปรากฏว่า ในรัชกาลนี้ มีช้างเผือกเอก ถึง 3 ช้าง คือ
      "พระยาเสวตกุญชร อดิศรประเสริฐศักดิ์ เผือกเอกอรรคไอยรา มงคลพาหนะนารถ  บรมราชจักรพรรดิ วิเชียรรัตนนาเคนทร์ ชาติคเชนทรฉันทันต์ หิรัญรัศมีศรีพระนคร สุนทรลักษณเลิศฟ้า" (โปรดสังเกตชื่อนะครับ จะคล้องจองกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของราชสำนัก ที่ตั้งชื่ออะไร นิยมตั้งแบบคล้องจองกัน)
      พระยาเสวตกุญชรนี้ ได้มาจากเมืองโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา เมื่อจุลศักราช 1174 (คือ พ.ศ. 2355)
      "พระยาเสวตไอยรา บวรพาหนะนารถ อิศราราชบรมจักร ศรีสังข์ศักดิอุโบสถ คชคเชนทรชาติอากาศจารี เผือกผ่องศรีบริสุทธิ เฉลิมอยุธยา ยิ่งวิมลมิ่งมงคล จบสกลเลิศฟ้า"
      พระยาเสวตไอยรานี้ ได้มาจากเมืองเชียงใหม่ เมื่อจุลศักราช 1177 (คือ พ.ศ. 2359)
      "พระยาเสวตรคชลักษณ์  ประเสริฐศักดิ์สมบูรณ์  เกิดตระกูลสารสิบหมู่  เผือกผู้พาหนะนารถ  อิศราราชธำรง  บัณฑรพงษ์จตุรภักตร์สุรารักษ์รังสรรค์  ผ่องผิวพรรณผุดผาด  ศรีไกรลาศเลิศลบ  เฉลิมพิภพอยุทธยา  ขัณฑเสมามณฑล  มิ่งมงคลเลิศฟ้า"
      พระยาเสวตรคชลักษณ์นี้ ได้มาจากเมืองน่าน เมื่อจุลศักราช 1179 (คือ พ.ศ. 2360)
      การที่ได้ช้างเผือกเอกถึง 3 ช้าง ในรัชกาลเดียวกันนี้ ในครั้งนั้น ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งในสยามประเทศ ตลอดจนเมืองพม่ารามัญ เมื่อครั้งกรุงเก่า ในแผ่นดิน สมเด็จพระมหาจักพรรดิ จะปรากฏว่ามีช้างเผือกถึง 7 ช้างก็จริง แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นช้างเผือกเอกกี่ช้าง
      ด้วยเหตุที่ได้ช้างเผือกเอกมาถึง 3 ช้าง ดังกล่าว  ราษฎรจึงได้พากันชื่นชมยินดี ในพระบารมีเป็นอันมาก และ พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ได้โปรดฯ ให้ทำรูปช้างเผือกสีขาว อยู่ในกลางวงจักรติดในธงพื้นสีแดง ใช้ชักในเรือหลวง แต่นั้นมา
      แต่เรือค้าขายของราษฎร ก็คงใช้ธงสีแดงเลี้ยงอยู่ จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4
      ในรัชกาลที่ 3  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโปรดธรรมเนียมฝรั่ง โปรดฯ ให้ทำเสาธงขึ้น  ณ พระราชวังเดิม อันเป็นวังที่ประทับในขณะนั้น แล้วก็ชักธงบริวารเป็นเครื่องบูชาในเวลาที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทอดพระกฐิน  เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ผ่านมาทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงตรัสถามผู้ที่ตามเสด็จฯ ว่า "นั่นท่านฟ้าน้อย เอาผ้าขี้ริ้วขึ้นตากทำไม่"
      จากคำตรัสถามของพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งทรงพระนิพนธ์เรื่องนี้ ในหนังสือ "ความทรงจำ" ทรงวินิจฉัยว่า ที่มีพระราชดำรัสเช่นนี้ มิใช่เพราะพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยูหัว ไม่ทรงทราบว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าอยู่หัว ทรงทำโดยความเคารพตามธรรมเนียมฝรั่ง  แต่เป็นเพราะพระองค์ไม่โปรดฯ ในการทำเสาธง  และชักธงเอาอย่างฝรั่งต่างหาก
      ครั้นพอถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงทราบขนบะรรมเนียมฝรั่งเป็นอย่างดี มีพระราชดำรัส สั่งให้ทำเสาธงขึ้น ทั้งในวังหลวง และวังหน้า เพื่อจะชักธงตามแบบอย่างฝรั่ง คือ เสาธงวังหลวง โปรดฯ ให้ชักธงตราพระมงกุฏ ซึ่งเป็นธงประจำพระองค์ ส่วนเสาธงวังหน้า โปรดฯ ให้ชักธงจุฑามณี (ปิ่น) อันเป็นธงประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้อยู่หัว
      การตั้งเสาธง และชักธงดังกล่าว ราษฎรพากันเข้าใจว่า เป็นเครื่องหมายแห่งพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน
      ครั้นเมื่อไทยทำสัญญา ทางพระราชไมตรีกับฝรั่งต่างประเทศแล้ว ก็ได้มีสถานกงสุลฝรั่งประเทศต่าง ๆ  เข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สถานกงสุลเหล่านั้น ต่างก็ทำเสาธง และชักธงชาติของตนขึ้น ตามประเพณี  ราษฎรจึงพากันตกใจ  โจษกันว่า พวกกงสุลเหล่านั้น เข้ามาแข่งพระบรมเดชานุภาพ
      ความดังกล่าวนี้ ทรงทราบถึงพระกรรณ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรำคาญพระราชหฤทัย จึงทรงพระราชดำริหาอุบายแก้ไข  โปรดฯ ให้เจ้านาย และขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย ทำเสาธง และชักธงช้างขึ้นที่ตามวัง และตามบ้าน เมื่อราษฎรเห็นมีเสาธง และชักธงกันมากก็หายตกใจ  การสร้างเสาธง และชักธง  จึงกลายเป็นของธรรมดาไป
ธงสมัยรัชกาลที่ 5
ธงเอกชน
ธงราชการ ร.ศ. 129
ธงค้าขาย ร.ศ. 129
      เมื่อมีการชักธง สำหรับพระองค์ขึ้น บนเสาธงในพระบรมมหาราชวัง ก็เป็นเครื่องหมายอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ราษฎรได้ทราบว่า พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ในพระนครหรือไม่  คือถ้าประทับอยู่ก็มีการชักธง ถ้าไม่ได้ประทับอยู่ ก็ไม่ได้ชักธง
      พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า ในเวลาที่ไม่ได้ประทับอยู่ ในพระนคร แล้วปล่อยให้เสาธงว่างเปล่านั้น ไม่เป็นการสมควร พระองค์จึงโปรดฯ ให้ทำธง ไอยราพต  อย่างพระราชลัญจกรไอยราพต ประจำแผ่นดินสยาม ขึ้นมาใหม่ สำหรับใช้ชัก ในเวลาพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในพระนคร
      ส่วนธงแดง ที่เรือค้าขายของราษฎร ใช้กันมาแต่โบราณนั้น พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า เป็นธงที่ใช้ซ้ำกับธงของประเทศอื่น ซึ่งยากที่จะสังเกต พระองค์จึงโปรดฯ ให้ดัดแปลงธงที่ใช้ชักในเรือหลวง คือ ให้ยกรูปจักรออกเสีย คงเหลือแต่รูปช้างเผือก บนพื้นสีแดง สำหรับเป็นธง ให้เรือราษฎรใช้ชัก ส่วนธงที่ใช้ชักในเรือหลวง  โปรดฯ ให้ชักรูปช้างเผือกบนพื้นสีขาว เพื่อให้ต่างกันกับธงที่เรือราษฎรใช้
      ในรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ตราพระราชบัญญัติธงขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434) และลงวันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440) แต่ต่อมา โปรดฯ ให้ตราพระราชบัญญัติธงขึ้นใหม่อีก ซึ่งเรียกว่า พระราชบัญญัติธง รัตนโกสินทร์ศก 118 และกำหนดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ร.ศ. 119 เป็นต้นไป
      พระราชบัญญัติธง รัตนโกสินทร์ศก 118  ได้กำหนดลักษณะธงต่าง ๆ  ขึ้น มีธงมหาราช ธงไอยราพต  ธงราชินี ธงเยาวราช ธงราชวงษ์ ธงเรือหลวง ธงเสนาบดี ธงฉาน ธงหางแซงแซว ธงหางจระเข้ ธงผู้ใหญ่ ธงชาติ ธงนำร่อง เป็นต้น
     สำหรับ ธงมหาราช  มีลักษณะและความหมายดังนี้
      "...ธงมหาราช  พื้นนอกสีแดง ขนาดกว้าง 5 ส่วน ยาว 6 ส่วน พื้นในสีขาว ขนาดกว้าง 3 ส่วน ยาว 4 ส่วน  ที่ในพื้นสีขาวนั้น กลางเป็นรูปโล่ห์ แบ่งเป็น 3 ช่อง  ช่องบนเป็นรูปช้างไอยราพต  อยู่บนพื้นเหลือง บอกนามสยามเหนือสยามใต้ สยามกลาง ช่องล่างข้างขวาแห่งโล่ห์ เป็นรูปช้างเผือกอยู่บนพื้นชมภู หันหน้าออกไปข้างเสา เป็นนามสัญญาแห่งลาวประเทศ  ช่องซ้ายของโล่ห์ เป็นรูปกฤสคต แลตรง 2 อัน ไขว้กันอยู่บนพื้นแดง บอกนามสัญญามลายูประเทศ เบื้องบนแห่งโล่ห์นั้นมีจักรกรีไขว้กัน  แลมีมหาพิไชยมงกุฎ สวมอยู่บนจักรี แลมีเครื่องสูงเจ็ดชั้น สองข้างโล่ห์ มีแทนรองแลเครื่องสูงด้วย  รวมครบเครื่องหมายเหล่านี้ทั้งส้ิน จึงเป็นธงมหาราช  สำหรับพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จโดยกระบวนนั้น ฤๅชักขึ้นในที่แห่งใด ก็เป็นที่หมายว่า พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ที่นั้น ถ้าประทับอยู่ในเรือพระที่นั่งฤๅเรือรบแล้ว ต้องชักขึ้นบนเสาใหญ่อยู่เป็นนิตย์"
ส่วน ธงไอยราพต มีลักษณะ "...พื้นสีแดง  มีรูปช้างไอยราพต สามเศียร ทรงเครื่องยืนแท่น หันหน้าไปข้างเสา มีบุษบก ทรงอุณาโลมไว้ภายใน ตั้งอยู่บนหลัง และมีเครื่องสูงเจ็ดชั้นอยู่หน้าหลัง  ข้างละสององค์  ธงนี้ประจำแผ่นดินสยาม สำหรับชักขึ้นในพระนคร เวลาที่พระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ประทับอยู่ในพระมหานคร"
งราชินี และธงเยาวราช  มีลักษณะดังนี้
       "ธงราชินี พื้นนอกสีแดง  ขนาดกว้าง 10 ส่วน  ยาว  15  ส่วน  ชายตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซว ลึกเพียงส่วนที่ 4 แห่งดานยาว พื้นในตัดมุมแฉกเข้ามา  ส่วนหนึ่งนั้นสีขาว  ขนาดกว้าง 6 ส่วน ยาว 8 ส่วน รูปเครื่องหมาย ที่ในพื้นสีขาว ก็เหมือนกับธงมหาราช ธงนี้ เป็นเครื่องหมาย พระองค์สมเด็จพระอรรคมเหษี สำหรับชักขึ้นบนเสาใหญ่ในเรือพระที่นั่ง อันสมเด็จพระอรรคมเหษี ได้เสด็จ  โดยพระราชอิศริยศ เป็นที่หมายให้ปรากฏว่า ได้เสด็จอยู่ในเรือลำนั้น"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น